เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันขนาดเล็ก ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ระหว่างวันที่ 27 – 28 มี.ค.2563 พื้นที่ จ.เชียงใหม่ รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ เดินทางมาถึงห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ส่วนหน้า) หลังวัดร่ำเปิง จ.เชียงใหม่ได้ประชุมผ่านระบบ Video Conference ติดตามสถานการณ์ไฟป่าไปยังห้องประชุม สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้,นายคมสัน สุวรรณอัมมพา รอง ผวจ.เชียงใหม่ และนายเกรียงศักดิ์ ถนอมพันธ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอทางไกลไปยัง 9 จังหวัดภาคเหนือด้วยพร้อมคณะรวมไม่เกิน 50 คนเดินทางมาร่วมแก้ไขปัญหาไฟป่าดังกล่าว
นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ส่วนหน้า) รายงานความเป็นมาของศูนย์ฯ สถานการณ์ไฟป่าภาพรวม และแนวทางการดำเนินงานของศูนย์ฯ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ รายงานการดำเนินงานป้องกันและควบคุมไฟป่าของภาคเหนือทั้งหมดมีพื้นที่รวมประมาณ 33 ล้านไร่ พบว่าป่าไม้ดังกล่าวถูกเผาไหม้ไปแล้วรวม 8.5 ล้านไร่
“ภาพรวมจุดความร้อนภาคเหนือปีนี้มากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 30 โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่และลำปาง พื้นที่เกิดไฟเป็นพื้นที่ป่าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษคือพื้นที่รอยต่อเชียงใหม่- เชียงราย, เชียงใหม่- ลำพูนและแม่ฮ่องสอน- เชียงใหม่- ลำปาง, รอบเมืองแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ก็ฝาง แม่อายและไชยปราการ” รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าว
ด้านนายนรินทร์ ประทวนชัย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันเชียงใหม่มีจดความร้อนสะสมมากกว่า 13,500 จุด ค่าpm2.5 จากสถานีตรวจวัด 6 สถานีพบว่าค่าคุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐานและมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนถึง 49 วัน ทั้งนี้ช่วงที่เกิดไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง เฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพย์ฯ ได้ช่วยทิ้งน้ำดับไฟ 497 เที่ยวบิน นอกจากนี้ ผวจ.เชียงใหม่ได้มีการปรับแผนปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าที่เพิ่มมากขึ้นโดยเพิ่มกลยุทธ์ลาดตระเวนร่วมกัน เป็นการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน
“ภาพรวมจุดความร้อนภาคเหนือปีนี้มากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 30 โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่และลำปาง พื้นที่เกิดไฟเป็นพื้นที่ป่าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษคือพื้นที่รอยต่อเชียงใหม่- เชียงราย, เชียงใหม่- ลำพูนและแม่ฮ่องสอน- เชียงใหม่- ลำปาง, รอบเมืองแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ก็ฝาง แม่อายและไชยปราการ” รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สิน รองผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่สั่งการให้ตำรวจลงบูรณาการร่วมกับทุกพื้นที่และใช้ศูนย์191 รับแจ้งเหตุมีการแจ้งความดำเนินคดี 310 คดีมากสุดในป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ ซึ่งผู้ว่าฯและผบก.จ.เชียงใหม่ให้นโยบายหาตัวคนมาดำเนินคดีโดยลงประจำวันและเม.ย.-พ.ค.มีผู้เข้าไปในพื้นที่ไฟไหม้จะดำเนินคดีทันที เพราะมีห้วงเวลาของคดีที่ครอบคลุมอยู่
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินคดีในพรบ.สาธารณสุขและเกี่ยวข้อง ซึ่งเชียงใหม่มีพื้นที่กว้าง และเป็นพื้นที่ภูเขาสูง และช่วงนี้อาจจะมีการเผาเพื่อเตรียมการเกษตรและหลังจากนี้อาจจะน้อยลง
ต่อมานายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมไฟป่า ว่า ต้องยอมรับว่าป่าภาคเหนือ 33 ล้านไร่ ถึงจะถูกไฟไหม้ไป 8.5 ล้านไร่ แต่เป็นป่าที่พื้นตัวได้ ยืนยันสามารถควบคุ้มไฟป่าภาคเหนือได้ 100% และไม่เชื่อว่าจะมีการกระทำโดยเผาเอางบประมาณ เพราะ จนท.ที่เข้ามาทำงานล้วนมีความรักและหวงแหนผืนป่าด้วยกันทั้งหมด ต้องเป็นกำลังใจให้ จนท.ทุกคนที่ทำงานอยู่ในขณะนี้
“และต่อไปต้องทำความเข้าใจให้ชาวบ้านผู้นำชุมชนให้ทราบถึงผลกระทบไฟป่า ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือ 1 คนจุดไฟเผาป่าเสียหายหลายแสนล้านไร่ยากที่จะหาคนเผามาลงโทษ แต่เมื่อมีคนเผาป่าเหมือนเผาบ้านตนเองให้ชาวบ้านมีจิตสำนึก และขอให้ทำงานแก้ไขปัญหาดับไฟป่าร่วมกับ จนท.ป่าไม้ และ จนท.อุทยานฯและ จนท.ทุกภาคส่วน ข้าราชการและทหารด้วย”
“เป็นห่วงถึงสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามในหลายพื้นที่ว่า คนลักลอบเผาไม่ได้หวั่งเกรงเรื่องการถูกจับดำเนินคดี เพราะที่ผ่านมาจากสถิติจะเห็นว่าเป็นการจับกุมดำเนินคดี โดยที่เจอผู้ต้องหามักจะเป็นคดีพรบ.สาธารณสุขฯ ซึ่งมีโทษปรับค่อนข้างน้อย แต่คดีที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่า ยังจับกุมตัวผู้ลักลอบเผาได้น้อย ซึ่งที่จริงความผิดตาม พรบ.ป่าสงวนฯมีโทษหนักเพราะทุกวันนี้คนเผาป่ากลัวโทษที่จะดำเนินคดีหรือไม่ เพราะหากตัดสินจำคุกแล้ว มักจะถูกจับกุมไม่นาน การดำเนินคดี จับๆ แต่คนไม่กลัว หากคนไม่กลัว”
รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ กล่าวอีกว่า “อีกประเด็นได้ขอให้ประสานกองทัพอากาศนำอากาศยานไร้คนขับยูเอวีซึ่งมีกล้องจับความร้อนด้วย เพื่อเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ จนท.ยูเอวีบินได้ 6-8กม.และมีกล้องจับความร้อนสามารถส่งข้อมูลทำให้จนท.เข้าไปดำเนินการดับไฟได้ทัน รวมทั้งอาจจะสามารถจับกุมคนลักลอบเผาได้ เพราะไฟป่าที่เกิดขึ้นนอกจากสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังส่งผลกระทบสุขภาพของประชาชนทำให้ต้องเสียมูลค่ามหาศาล และอีกประเด็นคือคนภาคเหนือยังเจอหมอกควันข้ามแดนซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการอาเซียนให้งดการเผา เพราะเป็นกิจการนอกประเทศการทำงานมีข้อจำกัดและแนวทางทำงานไม่เหมือนกัน” รมว.กระทรวงทรัพย์ฯกล่าว
นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผวจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการดำเนินคดีกว่า 200 คดี ยังเป็นแค่การปรับตั้งแต่ 500-3,000 บาท ยังไม่มีโทษจำคุก อย่างไรก็ตามตั้งแต่ตั้งแต่ มี.ค.จังหวัดได้เพิ่มโทษปรับและมีรางวัลนำจับด้วย
นายวุฒิชัย โสมมิภาค หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ-ปุย ได้กล่าวรายงานสถานการณ์ไฟป่า พื้นที่ครอบคลุม 4 อำเภอซึ่งได้จัดชุดลาดตระเวนชุดละ 4 นาย เมื่อเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นจึงได้สนธิกำลังร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งชุมชน จากกำลังร้อยนายเพิ่มเป็น ห้าร้อยเจ็ดสิบนายพื้นที่ไหม้ไปแล้ว พื้นที่ยังไม่ไหม้แต่เสี่ยงสูง พื้นที่ไม่ไหม้ และพื้นที่ไหม้ปัจจุบันโดยไหม้ไปแล้ว อุทยานฯจะดำเนินทุกคดี ส่วนพื้นที่ยังไม่ไหม้และเสี่ยงสูงรอบพระตำหนักจะเพิ่มความเข้มขัน จัดกำลังลาดตระเวนพื้นที่สี่พันกว่าไร่ แบ่งห้าโซนแบ่งสามกะเพื่อหมุนเวียนการลาดตระเวน โดยมีชุมชนรอบพื้นที่ตั้งจุดสุ่มเสี่ยงแอบลอบเข้าป่าสำหรับพื้นที่ป่าอุทยานฯจัดชุดลาดตระเวน ส่วนที่ฝังตัวในจุดที่ตรวจสอบว่าเกิดไฟไหม้บ่อยๆ ตรวจพิกัดแยกรายอำเภอพบหางดงและแม่ริมมีจุดความร้อนมากขึ้น อุทยานฯได้เพ่มชุดลาดตะเวนสิบแปดนาย จากอุทยานฯ ส่วนพื้นที่ไฟไม่ไหม้และความสำคัญลดลงโดยดูจากจุดความร้อนปีที่ผ่านมาไม่เกิดและลดลงจะจัดกำลังชุดละสิบนาย
แต่หากเกิดไฟจะดับไฟทันทีถ้าไม่ไหวก็จะประสานชุดชุมชนเข้าร่วม ถ้าสนธิกำลังแล้วหากเกิดไฟวงกว้างก็จะโยกกำลังจากส่วนอื่นมา แต่ไม่ทิ้งพื้นที่การบริหารพื้นที่เริ่ม24 มี.ค.ที่ผ่านมาจุดผาดำ จะมีรอยต่อ ต.บ้านปง เป็นจุดอุดมสมบูรณ์ของป่าที่ผ่านมามีการล่าสัตว์เยอะและต้นไม้เยอะ เป็นหน้าผาสูงชันเมื่อจุดไฟล่าสัตว์เจ้าหน้าที่เข้ายากไฟลามไปเยอะ อย่างไรก็ตามได้ทำแนวกันไฟป้องกันและจัดเจ้าหน้าที่เข้าฝังตัว จุดเกิดหนักอีกจุดคือดอยหัวหมู พื้นที่ป่าดิบ สนและก่อ แนวทางที่ผ่านมาเวลาไฟไหม้จะเข้าให้เร็วแต่ปัญหาต้นไม้ใหญ่ไฟติดแล้ว ไฟลามเข้าโพรงไม้เมื่อลมตีไฟก็ปะทุขึ้นมาอีก
นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจนท.อุทยานฯจะเข้าไปดับไฟและอธิบดีฯได้ให้สวิงกำลังจากพื้นที่อื่นมาช่วยกว่าสามพันคนเพื่อจะได้ลาดตระเวนด้วย และต่อไปการแจ้งดำเนินคดีจะเริ่มระบุ โดยเฉพาะจุดเกิดไฟจะอยู่ใกล้พื้นที่ทำกิน ซึ่งจะเรียกมาสอบสวนก่อน หากพื้นที่ไหนเกิดไฟบ่อยๆ ก็อาจจะยึดพื้นที่คืนซึ่งกำลังอยู่ในระเบียบการดำเนินการของกรมฯ
จากนั้นคณะ รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ เดินทางโดยรถยนต์ไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน จากนั้นรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์และแนวทางป้องกันและควบคุมไฟป่าจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย และตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดไฟป่าด้วยตัวเอง ร่วมกำจัดเชื้อเพลิง และหารือแนวทางการฟื้นฟูสภาพป่า รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์และแนวทางป้องกันและควบคุมไฟป่า จากนั้นมอบของและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแล้วเดินทางกลับ.
สำนักข่าว RATCHATA NEWS
ขอบคุณภาพเพจ กูรู้โลกรู้ หมึก ข่าวสด