มาตราการเกินเยียวยา………รัฐฯคิด….ข้าราชการทำ..!!.

มาตรการเกินเยียวยา
ต้องยอมรับกันเลยว่า สิ่งที่ทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทย กำลังประสบอยู่ ณ ขณะนี้คือมหันตภัยครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ เป็นโรคระบาดอุบัติใหม่ ที่แพร่กระจาย ติดเชื้อ และเสียชีวิตได้ง่าย ขณะที่เขียนต้นฉบับบทความนี้ ผ่านเวลามาเพียง 3 เดือนกว่า ๆ พบจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกนับล้านราย และมีผู้เสียชีวิตนับแสนราย นี่ คือสถานการณ์วิกฤตของโลก และแน่นอนเป็นสถานการณ์วิกฤตของไทยเราด้วยเฉกเช่นกันเมื่อโรคโควิด-19 (โคโรน่า 2019) แพร่ระบาดคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาแล้วบนโลกใบนี้ สิ่งสำคัญ ที่จ ะได้เห็น นั่นก็คือ ฝีมือและความสามารถในการแก้ไขปัญหา จัดการปัญหา และการควบคุมสถานการณ์ของรัฐบาลในแต่ละประเทศว่ามีมากน้อยเพียงใด ซึ่งแน่นอนต้องยอมรับอีกเช่นกันว่าแต่ละประเทศ มีรัฐบาลที่มีฝีมือและความสามารถ ไม่เท่ากัน ซึ่งสะท้อนไปถึงศักยภาพของผู้นำในยามวิกฤตเช่นนี้ในช่วงปลายปี 2019 ทันทีที่มีการพบการติดเชื้อไวรัสนี้ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จนเริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อ อีกหลายประเทศ และมิมาตรการด้วยการประกาศไม่อนุญาตให้เข้าจนให้เข้าประเทศ เพื่อเป็นการป้องกัน นับเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัย ให้กับพลเมืองในประเทศของตนเองที่ว่ากันว่า โดยที่ว่าในขณะนี้นั้น แต่สำหรับประเทศไทย ที่รายได้หลักของประเทศมาจากการพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว การจะปฏิเสธชาวจีนที่ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล ก็คือการปฏิเสธรายได้เข้าประเทศจำนวนก้อนมหึมานั่นเองดั่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลนั้นต้องพิจารณาเลือกระหว่างรายได้เข้าประเทศ กับความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในสุขภาพของประชาชนในประเทศตัวเอง และเมื่อรัฐบาลไทยเชื่อว่ามีมาตรการที่เอาอยู่ จึงมิได้เลือกปฏิเสธการเข้าประเทศของชาวจีนที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย จนถึงขนาดมี
คนระดับรัฐมนตรีออกมาบอกเพื่อมิให้คนไทยตื่นตระหนก ว่านี่ก็คือไข้หวัดธรรมดาๆ นั่นเอง
และการเลือกเปิดประเทศให้แขกชาวจีนและชาวต่างชาติ ยังคงเข้ามาประเทศไทยได้อย่างไม่ขาดสายในครั้งนั้น มันก็คือการเปิดประตูบ้านรับแขกผู้มาเยือนที่ไม่พึงประสงค์ออกนามอย่างเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 ให้ได้เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย และนั่นคือสิ่งประจักษ์ถึงมาตรการที่ใช้ในการตรวจตราบุคคลที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเอาอยู่ อย่างที่ปากพร่ามบอกประชาชนหรือเปล่า13 ม.ค. 63 มีการแถลงพบผปู้ว่ยโควิด -19 รายแรกในประเทศไทย โดยเป็นหญิงชาวจีนที่เดินทางมาจาก
เมืองอู่ฮั่น และนี่ยังถือว่าเป็นการพบผปู้ว่ยติด เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 นอกประเทศจีนเป็นครั้งแรกอีกด้วย แม้ว่าการแถลงในวันนั้นผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จะยังยืนยันว่าสามารถรับมือเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019

ได้ ขอให้ ประชาชนชาวไทยไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ดูเหมือนความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อรัฐบาล จะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยิ่งมาเจอการแถลงข่าวกันไปคนละทิศ คนละทางของแต่ละหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ยิ่งทำให้เห็นถึงศักยภาพและฝีมือของรฐับาลในการรับมือกับปัญหานี้ ว่าเป็นเช่นไรในสายตาประชาชนหลายภาคส่วนพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศออกมาตรการปิดประเทศ หรืออย่างน้อยก็ประกาศเช่นชาติอื่น ๆ คือการปฏิเสธการเข้าประเทศของชาวจีน แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังมั่นใจในแนวทางรับมือของตนเอง
ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่ใช่จำนวนที่มาก แต่ก็เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นแบบมีนัยยะบางประการ จนกระทั่งหลาย ๆ ประเทศต้องประกาศเตือนพลเมืองของตัวเอง ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย หรือหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มออกประกาศ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไทยเข้าประเทศ ทำให้ประชาชนยิ่งสงสัยว่าในขณะที่ทั่วโลกต่างรับรู้ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในไทย แต่ทำไมรัฐบาลไทยเองถึงยังไม่รู้ตัวและสิ่งที่ทุกคนคาดคิดไว้ ก็ไม่ไกลเกินจริง เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดช่วงเริ่มเข้าเดือนมีนาคม ได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเอาไม่อยู่กับเชื้อโควิด-19 แถมการแถลงแต่ละประเด็นของแต่ละหน่วยงานก็ไปคนละทิศคนละทาง ทำให้ในวันที่ 12 มีนาคม 2563 รัฐบาลตั้งประกาศตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกระทั่งวันที่ 24 มีนาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ออกทีวีพูลแถลงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 30 เมษายน 2563 พร้อมยกระดับ ศบค. และรวบอำนาจสั่งการในทุกกระทรวงมาไว้ที่ตนเองในฐานะประธาน ศบค. เริ่มมีมาตรการที่เข้มเฃข้นขึ้นในบางพื้นที่ เริ่มที่ กทม.และปริมณฑลในการออกประกาศปิดบางสถานที่ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งกระจายเชื้อทำให้เกิดการแพร่ระบาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างในการที่จะต้องหยุดประกอบอาชีพที่ใช้หารายได้ดำรงชีวิตประจำวันเพราะการที่ไม่มีการเตรียมการที่ดีในการออกคำสั่ง นำมาซึ่งการต้องออกคำสั่งมาขยายความในคำสั่งเดิมที่ออกไปก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับมือกับวิกฤตการณ์โควิด-19 และการออกคำสั่งโดยไม่มีการเตรียมมาตรการใด ๆ รองรับผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น และก่อปัญหาใหก้บประชาชนทั่วทุกหัวระแหง อันนำมาสู่การที่รัฐบาลต้องออกมาตรการเยียวยาตามหลัง (ทั้ง ๆ ที่ควรมีการคิดเตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบก่อน) โดยในช่วงแรกมีการประกาศเยียวยาเงินจำนวน 5,000 บาทให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐบาลจำนวน 3 ล้านคน (ไม่รู้คิดจากอะไร) ทันทีที่มีการเปิดให้ลงทะเบียนในโครงการ

“เราไม่ทิ้งกัน ” แล้วมีคนจำนวนมหาศาลเข้าไปลงทะเบียนกว่า 26 ล้านคน รัฐบาลก็ประกาศขยายจำนวนผู้ที่จะได้รับการเยียวยาเป็น 9 ล้านคน โดยจะใช้ระบบสมองกล หรือ AI ในการประมวลผลว่าใครคือ 9 ล้านคน ที่ควรได้รับการเยียวยา (ซึ่งก็ยังคงไม่รู้อยู่เช่นเดิมว่าคิดจากอะไรว่ามีผู้ได้รับผลกระทบเพียงเท่านี้) แถมในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ยังมีการแถลงโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายระยะเวลาในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวน 9 ล้านคนนี้เป็นเวลา 6 เดือน ๆ ละ 5,000 บาท (จากเดิม3 เดือน) ซึ่งก่อให้เกิดค าถามตามมามากมายโดยเฉพาะในประเด็นจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบที่จะเยียวยา 9 ล้านคน จนมีหลายฝา่ยออกมาคัดค้านและตั้งประเด็นนี้ ว่าถ้า จะขยายเป็น 6 เดือน 9 ล้านคน สู้จ่าย 3 เดือน แต่เยียวยา18 ล้านคนจะดีกว่า จนรัฐบาลต้องถอยแบบไม่เป็นท่า โดยให้คนในฟากรัฐบาลรีบออกมาบอกว่า ที่แถลงว่าจะขยายการเยียวยาเป็น 6 เดือนน่ะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐบาลจะยังคงจ่ายเยียวยา 3 เดือนตามเดิม แต่อาจขยายเป็น 6 เดือนหากยังมีผลกระทบอยู่เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือนหลังการเริ่มจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท โดยมีการแจ้งว่าใครได้หรือใครไม่ได้ ทำให้เกิดเสียงครหาถึง
ระบบการกลั่นกรองของโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน ” เพราะมีคนที่ไม่ควรได้รับ แต่กลับได้รับ และมีคนที่เดือดร้อนจริงๆ แต่กลับถูกปฏิเสธ โดยเฉพาะประเด็นการอ้างเหตุผลในการประกอบอาชีพเกษตรกร ทั้ง ๆ ที่หลายคนมิได้เป็นเกษตรกร ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของสมองกล หรือ AI ที่รัฐบาลคุยนักคุยหนาว่าเป็นอัจฉริยะ แต่กลับ
อาจจะก่อให้เกิดความโกลาหลในสังคม (ดูได้จากความวุ่นวายที่กระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563) ซึ่งเชื่อว่าท้ายที่สุด รัฐบาลคงจะหนีไม่พ้นที่จะต้องขยายจำนวนผู้ที่ต้องได้รับการเยียวยาเพิ่มขึ้นแน่ ๆส่วนจะไปถึงจำนวน 18 ล้านคนหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องที่ต้องตามดูแต่ที่แน่ ๆ เราจะยังคงเหน็อย การกลับ ไปกลับมาในมาตรการเยียวยาของรัฐบาลกันอีกต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสดุ เพราะความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารสถานการณ์วิกฤตฉุกเฉิ นของรัฐบาลนั่น่เองตราบที่ยังเป็นรัฐบาลนี้บริหารราชการแผ่นดินเว้นเสียแต่ว่าประชาชนจะพร้อมใจกันออก “มาตรการเกินเยียวยา” ให้กับรัฐบาล..หุหุหุ

สำนักข่าว RATCHATA NEWS 085-157-7465


 1,735 total views,  2 views today

Facebook Comments: (1) ห้ามใช้คำพูด หรือเขียนข้อความหยาบคาย ด่าทอ ดูถูกดูหมิ่นดูแคลน (2) ห้ามพูดหรือเขียนข้อความอันจาบจ้วงสถาบันหลักสำคัญของชาติ ห้ามละเมิดกฎหมาย ป.อาญามาตรา 112 โดยเด็ดขาด (3) ห้ามพูดจาละเมิดหรือเขียนข้อความอันสร้างความเกลียดชังในเรื่อง ชาติ ศาสนา เชื้อชาติ การแสดงความเคารพต่างๆ ของส่วนบุคคล และของประเทศต่างๆ ห้ามเอาความเชื่อส่วนบุคคลมาวิพากย์วิจารณ์อย่างดูหมิ่นดูแคลนเหยีดหยาม (4) ห้ามพูดจาหรือเขียนข้อความ ที่ดูหมิ่น-ละเมิดศาล หรือวิจารณ์วิเคราะห์คำพิพากษาของศาลโดยเด็ดขาด (5) ห้ามเขียนหรือกระทำการแสดงความคิดเห็นต่างๆที่เข้าข่ายผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ (6) ต้องปฏิบัติและเคารพกฏหมายและระเบียบธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคารพกฏหมายอย่างเข้มงวด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น