เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า สภาวการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจในขณะนี้ น่าเป็นห่วงอย่างมาก มองไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหา ความแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐที่รอวันจะแตกประทุอย่างรุนแรงตามที่ได้เตือนไว้แล้ว
“เห็นชัดแล้วว่า ภายในพรรคแตกแยกกันอย่างหนัก และจะยิ่งหนักขึ้นไปอีก เพราะไม่เกรงใจและไม่ต้องไว้หน้ากันแล้ว แม้จะพยายามสร้างภาพว่า ยังรักกัน แต่น่าจะประสานยากแล้ว พลเอกประยุทธ์ ปลดคนออกจาก ครม. ได้ แต่ปลดออกจากพรรคไม่ได้ แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร” นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย กล่าวว่า การควบคุมการระบาดของไวรัสน่าจะบรรเทาได้ชั่วคราว แต่มีโอกาสจะปะทุครั้งใหม่ เพราะวัคซีนคุณภาพยังมีไม่เพียงพอ อีกทั้งอาจเจอกับการกลายพันธุ์ของไวรัส โดยพรรคเพื่อไทยได้เตือนเรื่องวัคซีนนี้มาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว และการที่ ครม. อนุมัติการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นาให้กับสภากาชาด 1 ล้านโดส ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ควรสั่งมากกว่านี้ให้กับประชาชนเพื่อเป็นวัคซีนทางเลือก เพราะวัคซีนโมเดอร์นามีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้สูงมาก นอกจากนี้ประชาชนยังคาใจเรื่องการทุจริตวัคซีนที่มีส่วนต่างของราคาวัคซีนซิโนแวคที่รัฐบาลยังไม่ได้นำหลักฐานมาโชว์เพื่อพิสูจน์ ทำให้ เชื่อได้ว่าพิสูจน์ความโปร่งใสไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน เอกสารที่มีก็อาจจะไม่กล้าแสดง เพราะจะยิ่งทำให้ประชาชนเห็นการทุจริตคอรัปชั่นอย่างชัดเจน จึงได้แค่พูดแก้ตัวแต่ไม่กล้าแสดงหลักฐาน อีกทั้งยังมีภาพกลุ่มชายชุดดำแบกกระเป๋าดำหลายใบที่เชื่อกันว่าน่าจะบรรจุเงินใบละ 5 ล้านบาทเพื่อนำมาแจกจ่ายเพื่อรักษาสถานะของนายกฯ ที่ประธานสภาฯ กำลังสอบสวนอยู่ ซึ่งถ้าหากเป็นจริงก็ถือเป็นความเสื่อมถอยอย่างหนัก
“ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดสุดท้ายก็สะท้อนมาที่ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักลงอีก และยังไม่มีแนวทางที่พลเอกประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะแก้ไขได้ การอธิบายในสภาก็เป็นการแก้ตัวแบบมั่วๆ และการให้คนอธิบายแทนยิ่งเป็นการบิดเบือนปัญหาเศรษฐกิจเข้าไปใหญ่ การไม่ยอมรับความจริง หรือ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความจริงทางเศรษฐกิจคืออะไร จะไม่มีทางเลยที่พลเอกประยุทธ์ จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้เข้าใจปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อพลเอกประยุทธ์ จะได้นำไปศึกษาและหาทางแก้ไข เพราะถ้ายังไม่รู้ปัญหาและยังไม่ทราบสาเหตุของปัญหา คิดได้เพียงแต่จะแก้ตัว ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ พลเอกประยุทธ์ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ หมดสภาพไม่สามารถแก้ไขได้แล้วก็ควรถอดใจออกไป รัฐบาลในอนาคตจะได้เข้ามาแก้ไขได้” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ยังได้เสนอปัญหาเศรษฐกิจ 6 ข้อ และแนวทางแก้ไขดังนี้
1.ปัญหาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ามาก ซึ่งสื่อหลักต่างประเทศ ทั้งนิเคอิ เอเชีย และบลูมเบิร์ก ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ฟื้นตัวช้าหลังวิกฤตไวรัสโควิดในอันดับท้าย ๆ ของโลกเลย ทั้งนี้เป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่มาตลอด 7 ปีหลังการปฏิวัติ ซึ่งประชาชนจะลำบากกันอย่างมาก เพราะตลอด 7 ปี ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นมามากถึงหลายล้านคน สาเหตุมาจากความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารเศรษฐกิจ แนวทางการแก้ไข คือ ต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในทุกด้าน ต้องคิดและทำหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน ถือโอกาสปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยโดยไม่ยึดติดวิธีคิดเดิม ๆ เพื่อให้ไทยก้าวทันโลก หากจำกันได้ในปี 2554 ที่มีน้ำท่วมใหญ่ เศรษฐกิจไทยทรุดลงเหลือเพียง 0.1% เท่านั้น แต่อีกปีถัดมา เมื่อมีนโยบายหลายด้านออกมาพร้อม ๆ กัน เศรษฐกิจไทยในปี 2555 ขยายตัวได้ถึง 7.2% ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยทำได้และทำสำเร็จมาแล้ว
2.ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาก ทั้งหนี้สาธารณะที่จะทะลุ 9 ล้านล้านบาท และจะทะลุเพดาน 60% ของจีดีพี หนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 14.13 ล้านล้านบาท หรือ 90.5%ของจีดีพี และจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก โดยคาดกันว่าจะพุ่งถึง 93% ภายในสิ้นปีนี้ หนี้ภาคธุรกิจที่เจ๊งกันระนาว ธุรกิจน้อยมากที่จะทนได้กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เป็นปี ๆ ทำให้หนี้เสียในภาคธนาคารทั้งจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงหนี้นอกระบบที่ทำให้คนต้องคิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะไม่มีปัญญาจ่ายคืน แนวทางการแก้ไขของการแก้หนี้ก็คือการเพิ่มรายได้ ไม่ใช่เอาหนี้มาโป๊ะหนี้ เหมือนที่พลเอกประยุทธ์ คิดได้แค่จะเพิ่มโรงจำนำ การเพิ่มรายได้ต้องคิดทั้งรายได้ของประเทศที่รัฐบาลจะต้องคิดหาวิธีใหม่ ๆ จะพึ่งแต่ภาษีแบบเดิมคงไม่ได้แล้ว เพราะเศรษฐกิจทรุดขนาดนี้ใครจะมีปัญญาจ่ายภาษี
นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐจะต้องใช้เพื่อเพิ่มจีดีพีให้มากที่สุด และรัฐบาลจะต้องกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน และต้องคิดการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ต้องส่งเสริมให้มีเศรษฐกิจใหม่ ๆโดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิตอลที่เป็นของคนไทยเอง สร้างให้เกิดกิ๊กอีโคโนมีเพื่อเพิ่มการจ้างงาน
นอกจากนี้รัฐต้องหาทางช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอย่างรุนแรง ตัดหนี้ ลดดอกเบี้ย ลดเงินต้น ยืดการชำระเงิน เป็นต้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ และในอนาคตเงินช่วยเหลือนี้จะมีมูลค่าต่ำมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทยที่จะขยายในอนาคตเหมือนที่เกิดขึ้นในอดีตสมัยต้มยำกุ้ง ในอดีตพรรคไทยรักไทย คิดเรื่อง กองทุนหมู่บ้าน SME SML สร้างเศรษฐกิจคู่ขนาน(Dual Track Economy) พัฒนาทั้งเศรษฐกิจด้านบนและเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กันไป เป็นต้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจนฟื้นในที่สุด
3. ปัญหาการขาดดุลแฝด คือ การขาดดุลทางการคลัง และ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักที่ไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน การขาดดุลทางการคลังที่สูงติดต่อกันหลายปี จากปีที่แล้วที่ต้องกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อเยียวยาโควิด มาปีนี้ที่มีการขาดดุลงบประมาณปี 2564 ถึง 623,000 ล้านบาท เก็บรายได้ที่มาจากภาษีขาดอีกประมาณ 3 แสนล้านบาท มี พ.ร.ก. เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดดุลงบประมาณที่สูงมาก และเมื่อมาเจอกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด แม้การส่งออกจะเพิ่มขึ้นสูงการนำเข้ากลับเพิ่มสูงในสัดส่วนที่มากขึ้นกว่าการส่งออก ทำให้ปีนี้คาดกันว่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 343,000 ล้านบาทเลย แนวทางการแก้ไขคือ รัฐบาลจะต้องกลับมาพิจารณาการใช้เงินเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สุด จัดสรรงบประมาณและการใช้จ่ายใหม่ อะไรไม่จำเป็นและไม่ได้เพิ่มจีดีพีต้องตัดทิ้งทั้งหมด งบทางการทหาร และงบซื้ออาวุธต้องตัดและพักไว้ก่อนจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น การเร่งระดมฉีดวัคซีนคุณภาพให้กับประชาชนในพื้นที่การท่องเที่ยวทั้งหมดให้ได้ถึง 70-80% ของประชากร เพื่อเปิดแซนด์บ็อกซ์การท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทุกแห่ง เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กลับมา พร้อมกับการปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวให้สวยงามและมีความสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะลดและแก้ปัญหาการขาดดุลแฝดลงได้
4. ปัญหาการลงทุนที่หดหายมาตลอด 7 ปี ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมส่งออกของไทยที่มีอยู่เดิมเริ่มล้าสมัยเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เริ่มตกยุคถูกแทนที่ด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม เป็นต้น
แม้แต่คนไทยเองยังหนีไปลงทุนต่างประเทศกันมากจำนวนถึงหลายล้านล้านบาทในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สาเหตุมาจากการปฏิวัติ ทั้งนี้เพราะหลังจากการปฏิวัตินักลงทุนต่างชาติหายไป 90% โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดในขณะนั้น และการลงทุนจากต่างประเทศก็ไม่ฟื้นอีกเลยหลังจากนั้น ซึ่งเป็นรายงานของสื่อหลักต่างประเทศ ดังนั้นแนวทางการแก้ไข คงต้องเปลี่ยนรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจให้ออกไป เพื่อลบภาพรัฐบาลเผด็จการและการปฏิวัติออกไปให้หมด ถ้ายังเป็นรัฐบาลสืบทอดเผด็จการและยังมีผู้นำคนเดิม การสร้างความมั่นใจเพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนคงทำได้ยาก หรือแทบจะทำไม่ได้เลย ขนาดนายสมคิดและ 4 กุมารพยายามวิ่งไปทุกประเทศแต่ไม่มีนักลงทุนสนใจมาลงทุน ล่าสุด KKP research (เกียรตินาคินภัทร) ยังระบุว่า ไทยไม่ใช่เป็นที่สนใจของต่างประเทศแล้ว ซึ่งยิ่งพลเอกประยุทธ์ อยู่นานเท่าไหร่ ไทยก็จะยิ่งเสื่อม ลงมากขึ้น
5. ปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังที่จะเกิดจากวิกฤตไวรัสโควิดที่ยืดเยื้อ เชื้อไวรัสอาจจะกลายพันธุ์ต่อเนื่อง ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูง แนวทางแก้ไข คือการที่รัฐบาลจะต้องทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกับไวรัสโควิดได้โดยไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องมีหลักคิดในการปฏิบัติโดยต้องมีมาตรการที่เหมาะสมรองรับ โดยรัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพเพื่อมาเร่งกระจายฉีดให้กับประชาชนให้ทั่วถึงโดยเร็ว ต้องสั่งจองวัคซีนคุณภาพที่คิดค้นขึ้นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่น วัคซีน Novavax ที่ประเทศญี่ปุ่นจองแล้ว 150 ล้านโดส อีกทั้งต้องจองและจัดหายาป้องกันและยารักษาไวรัสโควิดที่คิดค้นใหม่ๆ ที่มีออกมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกับไวรัสได้จริง โดยไม่ต้องล็อกดาวน์ การเปิด ๆ ปิด ๆ ประเทศเหมือนที่ผ่านมา คล้ายกับโรคลักปิดลักเปิด จะยิ่งทำร้ายเศรษฐกิจไทยหนักยิ่งขึ้น
6. ปัญหารายได้ของประชาชนลดลงมาก ปัญหาการว่างงานพุ่งสูง ปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ปัญหาเหล่านี้เกิดมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาเป็นเวลานาน แนวทางแก้ไข เมื่อรัฐบาลใหม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับที่สูงขึ้นได้ ปัญหาเหล่านี้จะบรรเทาและจะหมดไป
“นี่เป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นสะสมมาเป็นเวลานาน ที่พลเอกประยุทธ์ พยายามที่จะปฏิเสธมาตลอด ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น บิดเบือนแบข้างๆ คูๆ แม้แต่ปัจจุบันที่เศรษฐกิจทุกด้านทรุดหนัก คนจะอดตายกันหมดแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังจะดันทุรังตอบบิดเบือนในสภาอีก แสดงว่าหลอกตัวเองจนคิดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ซึ่งจะเป็นปัญหาไปอีกนานถ้ารัฐบาลนี้ยังอยู่ โดยอย่าคิดว่าประชาชนโง่หรือหลอกง่าย เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่คนสัมผัสได้จริง ลำบากจริง อดจริง ตายจริง จะมาโกหกกันไม่ได้” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ระบุทิ้งท้ายว่า ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นอีกไม่นานนัก ซึ่งเชื่อว่าจากประวัติการบริหารประเทศในอดีต ประชาชนจะให้ความไว้วางใจในพรรคการเมืองที่มีผลงานในการบริหารเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้จริงมาตลอด และพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายใหม่ๆ ที่ทันสมัยและก้าวทันโลกออกมาเพื่อแก้ปัญหาที่กล่าวมาแล้ว และจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้จริง โดยจะช่วยให้ประชาชนกลับมากินดีอยู่ดี มีเงินในกระเป๋ามากขึ้นที่อาจจะเพิ่มทั้งเงินในรูปแบบเดิมและเพิ่มเติมคือเงินสกุลดิจิตอลที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้ใจในพรรคเพื่อไทยได้
#RATCHATANEWS #พรรคเพื่อไทย #ข่าวการเมือง