“สีทนได้” เป็นวาทกรรม “สุดดัง” ที่โดดเด่นมาจากโฆษณา “สีทาบ้าน” ยี่ห้อหนึ่ง จนวาทกรรมดังกล่าวกลายเป็น “คำฮิต” ที่ใครต่อใครนำมาใช้อย่างแพร่หลายในความหมายแตกต่างกันไป เช่น “สีทนได้ สีทนไม่ได้ และสีไม่ทน” เป็นต้น
ในวันนี้ เกิดม็อบสารพัดกลุ่มออกมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวกรุงเทพฯ อย่าง “สุดกระหน่ำ” จนประชาชนบางส่วนถึงขั้นเกิดอารมณ์จนเป็น “สีทนไม่ได้” โดยเฉพาะ “กลุ่มทะลุแก๊ส” ที่ไปเผาป้อม เผายาง ก่อความปั่นป่วนอยู่ในละแวก “สามเหลี่ยมดินแดง” ที่พวกเขาแปลงชื่อเป็น “สามเหลี่ยมตาลิบัน” ทุกค่ำคืน จนชาวบ้านหมดทางทำมาหากิน และทรัพย์สินรวมถึงชีวิตไม่ปลอดภัย แม้ตำรวจจะวางแผนจับกุมแก๊งหัวภูเขาไฟแบบไหน “แก๊งทะลุแก๊ส” ก็ไม่สูญพันธุ์ ในที่สุด ชาวบ้านสามเหลี่ยมตาลิบันที่เป็น “สีทนไม่ได้” ก็ร่วมใจกันช่วยตำรวจ ด้วยการ “ล็อกแก๊งทำผิดกฎหมาย” ส่งให้ตำรวจดำเนินคดีหลายรายก่อนหน้านี้ชาวแฟลตดินแดง เดินทางแจ้งความเอาผิดผู้ชุมนุม หลังได้รับความเดือดร้อน จากเสียงระเบิด ไม่ได้หลับได้นอน
ภาพที่คุ้นเคยแยกใต้ด่วนดินแดง ทุกวันของช่วงเย็นแก่ๆการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่ม “ผู้ชุมนุม” และ “เจ้าหน้าที่” ที่เดินหน้าตั้งแถวรุกคืบกระชับพื้นที่ มีพบเห็นทุกวัน รวมถึงความอลหม่านท่ามกลางสายความวุ่นวานปั่นป่วน ผู้ชุมนุม ต้องนำเสื้อกันฝนและร่มออกมา กระทั่งเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม ฉีดน้ำผสมสีฟ้าจากรถประจัญบานม็อบ “จีโน” ทำให้การ์ด มวลชน สื่อมวลชนที่ถูกฉีดน้ำ เกิดอาการปวดแสบ ปวดร้อน แสบตา คันผิวหนังไปตาม ๆ กัน จนต้องถอยไปตั้งแนวรับตามแนวถนนห่างจากกำลังเจ้าหน้าที่ราว 50 เมตร “รถฉีดน้ำแรงดันสูง” หรือที่เรียกกันว่า “จีโน” ใช้ควบคุมฝูงชน นำเข้ามาจากประเทศเกาหลีใต้ ในราคาคันละ 25 ล้านบาท มีคุณสมบัติเด่นด้วยล้อกันกระสุน ตะแกรงป้องกันกระจกรอบคัน มีคันกั้นเหล็กหน้ารถไว้เคลียร์พื้นที่ที่อาจมีสิ่งกีดขวาง และยังมีกล้องวงจรปิดติดตั้งรอบคัน เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์แบบรอบทิศทาง สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในกรณีเกิดเหตุการณ์รุนแรง ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าจีโนยังมีกระบอกฉีดน้ำตั้งตระหง่านอยู่บนหลังคารถ ซึ่งบรรจุน้ำได้มากถึง 12,000 ลิตร โดยแรงฉีดน้ำสามารถยิงระยะไกลได้สูงสุด 65 เมตรเลยทีเดียวและน้ำยังสามารถผสมใส่สี เช่น สีม่วง น้ำเงิน เขียวทำให้สีติดตามร่างกายของผู้ถูกฉีด สามารถบ่งชี้ชัดในการแบ่งแยกกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากประชาชน รวมไปถึงสามารถผสมแก๊สน้ำตา หรือโฟมดับไฟ ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสถานการณ์ใดหนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย “น้ำสีฟ้า” เป็นสารเคมีหรืออะไรกันแน่? “เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว” @textile.phys.and.chem วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม เฟซบุ๊กเพจ แหล่งข้อมูลทฤษฎีทางด้านเคมีและฟิสิกส์ของสิ่งทอและวิทยาศาสตร์นอกกระแสอื่น ๆ โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ วันที่ 1 ก.ย.2562 ขออนุญาตคัดลอกตัดตอนให้เป็นความรู้ ดังนี้อ้างอิงถึงที่ทางการของฮ่องกงได้มีการใช้งานสีย้อมสีน้ำเงินละลายน้ำ แล้วฉีดใส่ผู้ชุมนุมประท้วงเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ชุมนุมได้แบบที่เรียกว่า…เป็นหลักฐานติดตัวอย่างน้อย 3-7 วันได้เลย
นักข่าวภาคสนามเห็นสีที่ละลายน้ำที่เป็นสีน้ำเงิน (Blue) แต่คราบสีที่ติดบนผิวหนังที่เป็นสีฟ้าอมเขียว (Greenish blue) บนร่างกายของผู้ชุมนุมนั้นคาดว่า สีที่ว่านั้นน่าจะคือ “เมธิลลีนบลู” (Methylene Blue) หรือไม่ก็สีในกลุ่มของ Azure A, B, C หรืออาจจะเป็นสีของ “Thionine” (Lauth’s violet) ก็ได้
โดยสีทั้งหมดในซีรีย์นี้ต่างก็เป็นสีย้อมที่มีโครงสร้างส่วนให้สี (Chromophore) เป็น “ไทอะซีน” (Thiazines) ที่มีประจุบวก (cationic dyes) ที่สามารถติดบนวัสดุโปรตีน (Protein material) ทั้งผิวหนังคน เชื้อแบคทีเรีย รวมไปถึงเส้นใยไหมและขนสัตว์ได้ดี แม้ที่อุณหภูมิห้องนะครับ
เมื่อทางการของฮ่องกงได้นำมาใช้ในการละลายน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุมนั้น ก็สามารถที่จะทำให้สีนั้นสามารถติดบนผิวหนังได้ตามระยะเวลาประมาณ 3–7 วัน ตามแต่ความเข้มและความสามารถในการ ขัดล้างของผู้ที่โดนฉีดสีเหล่านี้ (ตามอายุของขี้ไคลและหนังกำพร้าที่เกาะอยู่บนผู้เปื้อนสี) หลายๆคนก็คงสงสัยว่า แล้วสีในกลุ่มนี้จะขัดไม่ออกเลยรึ? สีกลุ่มนี้มีสภาพประจุบวกที่แรงมากๆที่สามารถติดบนวัสดุที่มีประจุลบ ทั้ง ๆ ที่มีคราบไขมัน รวมไปถึงเกิดพันธะไอออนิกกับหมู่ “คาร์บอก-ซิเลต” (Carboxylate : –COO) ของโปรตีนได้ดีมาก จึงทำให้การชำระล้างด้วยสารซักล้างธรรมดานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ เว้นแต่ว่าจะขัดคราบขี้ไคลหรือหนังกำพร้าออกจนหมด
แม้ว่าสีเหล่านี้จะสามารถถูกรีดักชัน (Reduction) ด้วยกลูโคสในสภาวะเบสแก่จน “สีหาย” ได้ แต่เมื่อทิ้งไว้สักพักในบรรยากาศที่มีออกซิเจนนั้น สีก็จะกลับกลายมายิ้มโชว์สีฟ้าอย่างชัดเจนอยู่ดีลองค้นหาคำว่า “Blue bottle experiment” ดู นอกจากนี้ สีกลุ่มนี้จะทนต่อสารฟอกขาวออกซิไดซ์ (oxidative bleaching agents) เช่น สารฟอกขาวคลอรีน และสารฟอกขาวเปอร์ออกไซด์ได้ดีมาก ๆ เลยคือ ได้แต่รอให้เวลาผ่านไปจนเกิดการผลัดเซลล์ผิวหนังนั่นแหละ
#สีน้ำเงินที่ใช้ระบุตัวตนของผู้ชุมนุม #ไม่อันตรายเท่ากับสีลิปสติกบนเสื้อผ้าคุณผู้ชายแน่นอนบันทึกเพิ่มเติม มีหลายท่านก็มองดูเหมือนจะเป็น “มาลาไคต์กรีน” (Malachite Green) ที่ให้สีเขียวอมฟ้า (Bluish green) ก็เป็น ไปได้ เนื่องจากเป็น Cationic dyes เช่นเดียวกัน และมีคุณสมบัติเป็น Biological staining ได้ดีเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามีโครงสร้างส่วนให้สีเป็น Triarylmethane
ตรงนี้ แอดจึงขอคาดเดาเพิ่มเป็นอีกหนึ่งตัวด้วยนะครับ แต่ถ้าหากจะย้อนกลับมามองเหตุการณ์ในบ้านเราในครั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสารตัวเดียวกันหรือไม่ ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนอีกทีหนึ่ง
ในปี 2556 มีข้อมูลสะท้อนออกมาว่า “รถจีโนประจัญบานม็อบ” มีการใส่แก๊สน้ำตาแบบสารเคมีใส่สีผสมน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุม เมื่อถูกผู้ชุมนุมจะรู้สึกแสบร้อน เหมือนโดนแก๊สน้ำตาเช่นกัน ส่วน “น้ำมีสีม่วง” ที่ใช้สำหรับควบคุมฝูงชนนั้น เป็นการใช้สีผสมลงไป เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความกลัว และล้างออกยากเมื่อถูกตามร่างกาย
ประเด็นน่าสนใจมีอีกว่า จากการสอบถามข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ และการค้นหาข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) และองค์กรอาวุธเคมีระดับสากล เกี่ยวกับน้ำสีม่วง ที่ใช้ฉีดพ่นผู้ชุมนุมในหลายพื้นที่ของ กทม. ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเชื่อว่าเป็นการนำน้ำผสมแก๊สน้ำตานั้น ในความเป็นจริงเป็นสารเคมีที่มีสีใช้ในการสลายการชุมนุม เพื่อให้ระบุตัวผู้ชุมนุมได้ง่าย เนื่องจากสีจะติดตามตัวและเสื้อผ้าทำให้ล้างออกได้ยาก
สารเคมีที่ใช้ คือ “โปแตสเซียมเปอร์แมงกาเนต (Potassium permanganate)” หรือ “ด่างทับทิม” ที่ใช้ละลายน้ำแช่ผักผลไม้ผสมกับโซเดียมไธโอซัลเฟต (Sodium thiosulphate) เพื่อให้ฉีดพ่นได้ดีขึ้น
สารเคมี 2 ชนิดนี้ เมื่อทำปฏิกิริยากันแล้ว จะทำให้เกิด “ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์” หรือ “กรดกำมะถัน” แบบเดียวกับฝนกรด ที่มีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่สัมผัสกับสารนี้ เกิดอาการระคายเคืองเยื่อบุตา ทางเดินหายใจและเมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำก็จะกลายเป็นกรดกำมะถันอ่อน ๆ ที่มีค่า Ph ประมาณ 6.5-6.9 อาจเป็นเหตุให้ “ผู้ถูกน้ำสีม่วง” จะมีอาการแสบคันตามผิวหนังได้ ข้อแนะนำ คือ ถ้าโดนน้ำสีม่วงต้องล้างน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนออก
เงื่อนประเด็นสงสัย สิ่งที่คาใจประชาชน ไม่ว่าจะเป็น “น้ำสีฟ้า” มีการผสม “แก๊สน้ำตา” หรือไม่ ถ้ามีได้รับการพิสูจน์หรือยังว่าปลอดภัยและไม่มีอันตรายไปมากกว่าการระคายเคือง แสบร้อน? หรือแม้กระทั่งอัตราส่วนในการผสมน้ำสีม่วงจะมั่นใจได้แค่ไหนว่า ตำรวจจะไม่ผสมสารจนเข้มข้นเกินกว่าที่กำหนดว่าปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น อย. เพื่อเป็นการป้องกันการฟ้องร้องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
#RATCHATANEWS #แฟลตดินแดง #ม็อบทะลุแก๊ส