เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลไทยยกระดับปฏิบัติการต่อขบวนการค้ามนุษย์ที่ชายแดนไทย-เมียนมา คาดโทษหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่พัวพันทุกคน ซึ่งมีใจความว่า
ประเทศไทยยังแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมาที่นำแรงงานเมียนมาและชาวโรฮิงญา เข้ามาฝั่งไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ได้เสียที ทั้งที่รู้ว่ามีขบวนการ 3 ประสานร่วมมือกันกระทำผิด เป็นนายหน้าค้ามนุษย์ที่อยู่ฝั่งเมียนมาและฝั่งไทย ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่หากินอยู่กับการค้าขายมนุษย์บนผลประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน ข่าวและภาพการรวบหนุ่มสาวชาวเมียนมา 189 คนกลางป่าที่ลอบข้ามชายแดนเข้าไทยที่ ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เพื่อจะลอบเข้ามาทำงานในพื้นที่ชั้นใน เป็นสถานการณ์น่าสลดใจและสัญญาณที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง เพราะคนวัยแรงงานดังกล่าวกำลังประสบชะตากรรมที่บ้านตนเอง ทั้งภัยการเมือง เศรษฐกิจ โรคระบาด จนต้องมาจบลงที่การสูญเสียเงินจ่ายค่าหัวให้นายหน้าไป 17,000-20,000 บาท โดยไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นมีผู้ต้องการลี้ภัยการเมืองรวมอยู่ด้วยหรือไม่
ภาพและเหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นการทะลักเข้ามาของคนเมียนมาได้เกิดขึ้นจริงตามที่คาดการณ์ไว้แล้วและอาจจะดำเนินการลักลอบกันต่อไปอย่างไม่ขาดสายตามแนวเส้นทางธรรมชาติ หากการแก้ปัญหายังไม่เป็นไปอย่างบูรณาการ ไม่มีการตั้งรับที่ดี ประเทศไทยคงจะหลีกเลี่ยงการถูกตั้งคำถามต่อภาพพจน์ที่ปล่อยให้มีการค้ามนุษย์และการคอรัปชั่นจากอาเซียนและจากนานาชาติไปไม่ได้ จึงมีข้อเสนอเร่งด่วนดังต่อไปนี้
1. นอกจากจะมุ่งเน้นการดำเนินคดีคนเมียนมาในความผิดฐานลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต (พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522) และฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ขอให้ดำเนินความผิดอาญาที่ถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงและผิดวินัยร้ายแรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยอย่างจริงจังเสียที เพื่อยุติวงจรการค้ามนุษย์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐอิงแอบรับผลประโยชน์ คอยเปิดทางให้นายหน้าหรือคนกลางลักลอบนำคนเข้ามา ให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินและเส้นทางการเงินกับเจ้าหน้าที่ทุกคน และให้ไล่ออกเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างอีกต่อไป
2. ให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ล่าสุดทั้งหมด ทั้งด้านอาหารและยา รวมทั้งกำหนดให้มีการตรวจเชื้อโควิดด้วยการวัดอุณหภูมิและได้รับการตรวจด้วยชุด ATK ทุกคน
3. ก่อนการผลักดันให้ผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายกลับสู่ประเทศเมียนมา ควรมีการสัมภาษณ์คัดกรองเพื่อแยกผู้ที่แสวงหาที่พักพิง (Asylum Seekers) หรือผู้ลี้ภัยการเมือง ออกจากกลุ่มเพื่อให้มั่นใจว่าคนเหล่านี้จะไม่กลับไปเผชิญอันตรายในประเทศต้นสังกัด (non-refoulement)
4. ขอให้ประเทศไทยเคารพอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ที่ประเทศสมาชิกได้ให้การรับรองเมื่อปี พ.ศ. 2547 และขอให้ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน (OHCHR) รวมทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ลงไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของผู้ถูกจับกุม ห้องกักขังทุกแห่ง สอบถามปัญหา หารือกับรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม
5. ขอให้นายกรัฐมนตรีของไทยหยิบยกประเด็นการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เมียนมา เป็นวาระสำคัญในการกดดันให้ผู้นำทหารนำโดยพลเอกมินอ่องหล่าย คืนอำนาจแก่ประชาชนโดยเร็ว เพื่อแก้ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจภายใน และประเทศไทยควรนำประเด็นดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาของอาเซียน เพื่อขอความร่วมมืออย่างจริงจังรวมถึงการแก้ปัญหาการค้าเด็ก สตรี และชาวโรฮิงญาด้วยโดยเร็ว
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนและมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแก้ปัญหาของทุกหน่วยงานจะเป็นไปอย่างบูรณาการ ไม่ประวิงเวลา ปล่อยคนผิดลอยนวล และเป็นปฏิบัติการบนพื้นฐานของมนุษยธรรม ที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง “การปล่อยปละละเลยไม่แก้ปัญหาเท่ากับการสร้างปัญหาอย่างหนึ่ง”
———————————–
#NewsandTalk
#Ratchatanews.com
#ChiangMaiTalkNewspaper
#สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
#มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
# #มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
#ไทยพม่า