การรถไฟแห่งประเทศไทยตรวจรับขบวนรถไฟดีเซลราง Kiha 183 จาก JR Hokkaido จำนวน 17 คันที่เดินทางถึงประเทศไทยแล้ว มั่นใจมีความคุ้มค่า ช่วยเสริมศักยภาพในการเดินทางและการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2564 นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุง รถจักรและล้อเลื่อน การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับขบวนรถไฟดีเซลราง KIHA 183 จำนวน 17 คัน ที่ได้รับมอบจากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว ณ ศูนย์ขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมีผู้บริหารการรถไฟฯ และคณะสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน และเข้าร่วมสังเกตการณ์ตรวจขบวนรถโดยสารทั้ง 17 คันอย่างใกล้ชิดก่อนนำมาปรับปรุงเปิดให้บริการ
นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้มีความร่วมมือกับบริษัท JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น ในการส่งมอบขบวนรถไฟดีเซลราง KIHA 183 (คีฮา 183) จำนวน 17 คัน มาให้กับประเทศไทยฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขณะนี้ขบวนรถไฟดังกล่าวได้ขนย้ายจากประเทศญี่ปุ่นมาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย รถมีห้องขับสูง (High Cab) จำนวน 8 คัน รถมีห้องขับต่ำ (Low Cab) จำนวน 1 คัน และรถไม่มีห้องขับ จำนวน 8 คัน
ทั้งนี้ ขบวนรถที่การรถไฟฯ รับมอบในครั้งนี้เป็นรถดีเซลราง (DMU) รุ่น Kiha 183 ของ JR Hokkaido ที่เคยเปิดให้บริการทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจากการตรวจสภาพเบื้องต้นพบว่าขบวนรถมีตัวถัง เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อนและตู้โดยสารอยู่ในสภาพดี สามารถนำมาใช้งานได้ เนื่องจากทาง JR Hokkaido มีการดูแลบำรุงรักษามาโดยตลอดและเพิ่งมีการตรวจสภาพครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ จึงคาดว่ายังมีอายุการใช้งานต่อไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 ปี ซึ่งมีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ การรถไฟฯ จะขนย้ายรถดีเซลราง Kiha 183 ทั้ง 17 คัน ไปที่โรงงานมักกะสัน โดยให้ฝ่ายการช่างกล ดำเนินการทดสอบสมรรถนะตัวรถและตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นส่วนอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และนำมาประกอบเข้ากับแคร่ที่มีการดัดแปลงให้เท่ากับความกว้างของรางในประเทศไทยขนาด 1 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือน จากนั้นจะมีการปรับปรุงรถโดยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หลักทุกส่วน เช่น Main Engine, Transmission, Donkey Engine, เครื่องปรับอากาศ ที่นั่งภายในและภายนอกตู้โดยสาร ฯลฯ โดยจะเข้าปรับปรุงทีละชุดจนครบ 4 ชุด ใช้เวลาดำเนินงานประมาณ 2 ปี โดยมีรูปแบบการปรับปรุงคล้ายคลึงกับรถโดยสารทั่วไป และมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับรองรับการท่องเที่ยว เช่น เคาน์เตอร์บาร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างการจัดจ้างเพื่อปรับปรุงรถ การรถไฟฯจะนำรถโดยสาร Kiha 183 ทั้ง 17 คัน มาทดลองเปิดให้บริการ เช่น ขบวนรถในเส้นทางระยะสั้น ขบวนรถพิเศษพินิจงาน ขบวนพิเศษสำหรับการท่องเที่ยวในเส้นทางต่างๆ เพื่อทดสอบสมรรถนะตัวรถ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ขบวนรถไฟท่องเที่ยวและเมื่อปรับปรุงแล้วเสร็จ การรถไฟฯ จะนำรถดีเซลราง Kiha 183 ทั้งหมดมาเปิดให้บริการเดินรถใน 4 เส้นทาง พร้อมกับเปิดให้ประชาชน หน่วยงาน หรือผู้สนใจเช่าเหมาขบวนในรูปแบบ Charter Train โดยมี 4 เส้นทางหลัก ได้แก่
1. อุดรธานี – หนองคาย – เวียงจันทน์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากการเปิดให้บริการรถไฟสายลาว – จีน และประชาชนที่เดินทางระหว่างประเทศไทย และ สปป. ลาว
2. นครราชสีมา – ขอนแก่น เพื่อรองรับการบริการในช่วงทางคู่สายขอนแก่นให้มีศักยภาพด้านการเดินทางระหว่างจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดขอนแก่นที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นขนส่งต่อเนื่อง (Feeder) ของรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ – นครราชสีมา
3. กรุงเทพ – หัวหิน – สวนสนประดิพัทธ์ เพื่อทดแทนขบวนรถไฟนำเที่ยวชายทะเลสวนสนประดิพัทธ์ ซึ่งเป็นขบวนรถไฟนำเที่ยวประจำที่มีปริมาณผู้ใช้งานสูง โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพของการเดินทาง การท่องเที่ยวและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่และลูกค้าประจำ
4. ขบวนรถท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลางและจังหวัดใกล้เคียง เช่น อยุธยา ลพบุรี สระบุรี เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปากช่อง นครปฐม ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ตามฤดูกาล เทศกาล หรืออีเวนต์พิเศษต่างๆ ด้านการท่องเที่ยว
นายศิริพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า ขบวนรถดีเซลราง KIHA 183 เป็นรถชุดที่ 2 ที่การรถไฟฯ ได้รับมอบจาก JR Hokkaido จากก่อนหน้านี้ที่เคยได้รับชุดรถนั่ง (รถชุดฮามานะสึ: Hamanasu) จำนวน 10 คัน ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการปรับปรุง เพื่อนำมาจัดขบวนรถเป็น 2 ชุด ชุดละ 5 คัน ให้บริการใน 2 เส้นทางท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ได้แก่ เส้นทางนครลำปาง – เชียงใหม่ และเส้นทางกรุงเทพ – น้ำตกไทรโยคน้อย โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการปรับปรุง 2 ปี และสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2566
“การรถไฟฯ มีความเชื่อมั่นว่าการรับมอบขบวนรถดีเซลจาก JR Hokkaido จะมีความคุ้มค่า สามารถนำรถทั้งหมดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง ทั้งในการอำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชน การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและเสริมศักยภาพการขนส่งทางราง ตลอดจนช่วยเพิ่มรายได้แก่การรถไฟฯ อีกทางหนึ่งด้วย”
เห็นได้จากก่อนหน้านี้ การรถไฟฯ เคยได้รับมอบตู้โดยสารรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น มาปรับปรุงและใช้ในกิจการรถไฟมาแล้ว เช่น การรับมอบตู้โดยสารจากบริษัท JR-West นำมาให้บริการเป็นขบวนตู้นอนปรับอากาศ ได้นำพ่วงกับขบวนรถด่วนที่ 51 เส้นทาง กรุงเทพ – เชียงใหม่ – กรุงเทพ และนำมาพ่วงกับขบวนรถเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล รวมถึงบางส่วนหนึ่งนำมาดัดแปลงให้เป็นตู้พิเศษ เช่น รถ SRT Prestige รถประชุมปรับอากาศ ฯลฯ เป็นรถเช่าเหมาคัน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดีและอนาคตการรถไฟฯ ยังมีแผนจัดตั้งสำนักงานธุรกิจพิเศษและการท่องเที่ยว เพื่อดำเนินธุรกิจรถไฟท่องเที่ยว การเช่าเหมาขบวนรถและตู้รถไฟ รวมถึงทำการตลาดเพื่อหารายได้และทำธุรกิจพิเศษนอกเหนือจากการโดยสารเพิ่มเติม
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการดูแลความปลอดภัยในการให้บริการขนส่งทางราง การรถไฟฯ ยังได้จัดซื้อรถโบกี้ปั้นจั่นกลจำนวน 3 คัน ขนาดยกได้ไม่ต่ำกว่า 80 ตัน ซึ่งล่าสุดได้ขนส่งมาถึงประเทศไทยที่ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะนำมาทดแทนรถโบกี้ปั้นจั่นกลรุ่นเก่า ที่ใช้เครื่องต้นกำลังเป็นไอน้ำจำนวน 3 คัน ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 57 ปี และมีความสามารถในการยกเพียง 35 ตัน ซึ่งไม่เพียงพอรองรับรถจักรและรถพ่วงรุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักมากได้ จึงจำเป็นต้องใช้รถปั้นจั่นกลที่มีความสามารถในการยกสูงขึ้น และพ่วงในขบวนรถที่ใช้ความเร็วได้มากกว่าเดิม
สำหรับสมรรถนะ รถโบกี้ปั้นจั่นกลทั้ง 3 คัน เป็นรุ่น KIROW Multitasker Railway Crane Type KRC 1210 N ซึงเป็นรถโบกี้คุณภาพสูง ผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัยจากประเทศเยอรมนี มีขนาดกำลังยกไม่ต่ำกว่า 80 ตัน มีคันปั้นจั่นที่ยาว ทำให้ยกรถตกรางในพื้นที่กว้างโดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนรถหลายครั้งได้ อีกทั้งสามารถใช้งานบน Electrified Track และในพื้นที่แคบ เช่น อุโมงค์ บนสะพาน ทางคู่ รวมถึงบนพื้นที่ลาดเอียง และยกรถตกรางในอุโมงค์ได้ โดยมีความเร็วเคลื่อนที่ด้วยตัวเองไม่กว่า 20 กม./ชม. และถูกรางจูงไม่น้อยกว่า 90 กม./ชม.
“ด้วยคุณภาพของโบกี้ปั้นจั่นรุ่นใหม่ จะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพการกู้ภัยเหตุอันตรายแก่การรถไฟฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นรถที่มีความคล่องตัว รวดเร็ว สามารถเข้าช่วยกู้ภัยในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่รถปั้นจั่นล้อยางของเอกชนเข้าไม่ถึง อาทิ ทางรถไฟยกระดับ หรือจุดกลางป่า หุบเหวไม่มีถนนเข้าถึงได้ และที่สำคัญยังรองรับเชื้อเพลิงไบโอดีเซลได้ถึงบี 20 ทำให้ประหยัดพลังงานและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
#NewsandTalk #Ratchatanews.com #ChiangMaiTalkNewspaper
#ขบวนรถไฟดีเซล #Kiha #การรถไฟแห่งประเทศไทย #ญี่ปุ่น